ดู: 1875|ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[ทำปาก] ริมฝีปากหนา สวยด้วย "ศัลยกรรม"

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย opal2530 เมื่อ 2013-2-18 20:09

ริมฝีปากหนา สวยด้วย "ศัลยกรรม"
ดาราที่ชื่นชอบ สวยคนละแบบนะคะ

หากว่าคุณคือหนึ่งคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาขอบอกเลยค่ะว่า ศัลยกรรมช่วยให้คุณมีริมฝีปากที่ บางเรียวได้ค่ะ และวันนี้เราก็นำความรู้และขั้นตอนต่าง ๆ ของการศัลยกรรม ริมฝีปากหนา มาฝาก เพื่อช่วยเป็นทางเลือกในการตัดสินใจของคุณ และต่อไปนี้คุณก็จะสวยหล่อได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องอายใครอีกต่อไปแล้วล่ะ ค่ะ

ริมฝีปากหนา

เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเผยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ... ด้วยริมฝีปากที่เรียวบาง เนื่องจากแพทย์มีวิธีตกแต่งแก้ไขริมฝีปากหนาให้เรียวบางลงได้ เห็นทีคงถึงเวลาโบกมือลาริมฝีปากหนา ๆ กันสักที

แต่ก่อนอื่นคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาจะต้องเขาใจก่อนว่า ความหนาของริมฝีปากในแต่ละบุคคลนั้นมีสาเหตุไม่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าความหนาของริมฝีปากเกิดจากตัวริมฝีปากหนาเอง จริง ๆ แล้วคนที่ประสบปัญหาจากสาเหตุดังกล่าวมีเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างในส่วนใกล้เคียงผิดปกติ เช่น มีโครงกระดูกหน้ายื่นมีฟันหน้ายื่นคางสั้น หรือกระดูกขากรรไกรหน้าไม่เจริญเติบโตตามที่ควรจะเป็นจึงทำให้ริมฝีปาก เผยอออกด้านนอกมากกว่าปกติค่ะ

ดังนั้นก่อนรักษาแพทย์จะต้องตรวจโครงสร้างริมฝีปากของคนไข้ทุกรายเพื่อดูว่า ความหนาของริมฝีปากมีสาเหตุมาจากอะไรเพื่อจะได้แก้ไขได้ตรงจุดมิฉะนั้นผลที่ ได้อาจไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นในกรณีปัญหาเกิดจากโครงสร้างที่ใกล้เคียงผิดปกติ เมื่อแพทย์แก้ไขในจุดที่ผิดปกติให้แล้วริมฝีปากก็จะดูดีขึ้นได้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามัวไปแก้ด้วยการผ่าตัดเฉพาะที่ริมฝีปากอย่างเดียวคุณอาจมานั่งหงุดหงิดใจไหนจะต้องเจ็บตัวกับการผ่าตัดแถมผลที่ได้ยังไม่เป็นอย่างใจต้องการเสียอีก
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 20:09:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แต่ถ้าปัญหาเกิดจากตัวริมปากหนาเองก็จะใช้วิธีผ่าตัดแก้ไขเฉพาะที่ริมฝีปาก ค่ะ การผ่าตัดสามารถทำได้ภายในวันที่คนไข้มาพบแพทย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มจากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่พร้อมทั้งให้ยานอนหลับอย่างอ่อนเพื่อลดความ เจ็บปวดและช่วยลดความกังวลใจของคนไข้
จากนั้นแพทย์จะค่อย ๆ ตัดเนื้อริมฝีปากด้านในรวมถึงเยื่อบุช่องปากที่อยู่บริเวณเดียวกันออก แล้วเย็บรั้งเข้าหากันด้วยไหมละลายซึ่งจะทำให้ความสูงของริมฝีปากลดลงและริม ฝีปากบางลง ซึ่งความบางของริมฝีปากที่จะได้ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นผิวของริมฝีปากด้านใน และเยื่อบุช่องปากที่ตัดออก ส่วนความแนบเนียนและสม่ำเสมอของริมฝีปากจะอยู่ที่ประสบการณ์และความชำนาญของ แพทย์เพราะเนื้อเยื่อบุช่องปากเมื่อเกิดบวมขึ้นจากการฉีดยาชาจะมีการยืดตัว ได้มากและไม่สม่ำเสมอกัน ดังนั้น หากแพทย์มีความชำนาญโอกาสจะกะระยะผิดพลาดจึงเป็นไปได้ยาก จากนั้นแพทย์จะเย็บปิดแผลให้อีกครั้งด้วยไหมละลากก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย รอยแผลจากการผ่าตัดจะถูกซ่อนไว้ขอบภายในของริมฝีปากเมื่อแผลหายสนิทแล้วมัก จะมองไม่เห็นรอยแผลเป็น

หลังผ่าตัดแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อยาชาและยานอนหลับหมดฤทธิ์แล้ว (ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง) หลังทำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกควรปฏิบัติตัวดังนี้ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกควรประคบความเย็นบริเวณริมฝีปากเพื่อลดอาการบวมหมั่นรักษาความ สะอาดภายในช่องปากโดยบ้วนปากหลังอาหารทุกมื้อ ป้องกันแผลผ่าตัดติดเชื้อจากเศษอาหารที่หมักหมมหลีกเลี่ยงการพูดในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรรอจนกว่าแผลจะติดและแห้งสนิทเสียก่อนในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่ายและรสไม่จัดและงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แล้วอย่าลืมรับประทานยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ตามนัดด้วยค่ะ

โดยทั่วไปอาการบวมจะเป็นอยู่ประมาณ 5-10 วัน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ รูปทรงของริมฝีปากจะเริ่มเข้าที่และเมื่อยุบบวมแล้วอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์เพื่อปรับตัวเข้ากับรูปทรงริมฝีปากใหม่บ้างจึงจะปิดปากได้สนิทเหมือน เดิมเนื่องจากยังเคยชินกับความหนาของริมฝีปากเดิมอยู่

ถึงเวลานั้นจริงก็รีบปรับตัวให้เคยชินเสียนะคะ เพราะต่อไปริมฝีปากหนาที่เคยสร้างปัญหาก็จะอันตรธานไปเหลือไว้แต่ริมฝีปาก สวยเรียวบางให้คุณยิ้มอวดใครๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 20:09:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แผลเป็น และ วิธีรักษาแผลเป็น

1 แผลเป็นมีกี่ชนิด

แผลเป็นมีหลายรูปแบบแต่แผลเป็นที่ถือว่าผิดปกตินั้นจะแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ

1. แผลเป็นที่โตนูน แผลเป็นที่โตนูนมี 2 แบบคือ

แผลเป็นนูนเกิน หรือ hypertrophic scar : เป็นแผลเป็นที่โตนูนแต่ไม่เกินขอบเขตของแผลเดิม นระยะแรกจะมีลักษณะนูน แดง คัน

แผลเป็นคีลอยด์ : เป็นแผลเป็นที่โตนูนและขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิมไปมาก

2. แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไปที่เรียกว่า depressed scar มีลักษณะเป็นร่องหรือรูบุ๋มลึกลงไปใต้ผิวหนัง
3. แผลเป็นที่มีการหดรั้งร่วมด้วย เรียกว่า scar contracture : แผลเป็นชนิดนี้จะดึงรั้งอวัยวะบริเวณแผลให้ผิดรูปได้

แผลเป็นทั้งสามลักษณะนี้อาจจะมีผิวสีซีดที่เรียกว่า hypopigmentation หรือผิวสีเข้ม hyperpigmentation ก็ได้
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 20:09:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2 hypertrophic scar เกิดจากอะไร

จริง ๆ แล้วยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนว่าทำไมบางคนถึงเกิด hypertrophic scar หรือแผลเป็นนูนเกิน แต่สาเหตุอาจจะพบได้จากการที่แผลเกิดในตำแหน่งที่ความตึงมาก เช่น บริเวณข้อต่อหรือกลางหน้าอก เป็นต้น แผลเป็นนูนเกินนี้มักจะพบได้มากในช่วงระยะ 6 เดือนแรก หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ยุบลงและจะกลับเข้าสู่แผลเป็นคงที่ (stable scar) มีลักษณะใกล้เคียงแผลเป็นปกติในช่วงประมาณ 1 ปีภายหลังเกิดแผล

3 แผลเป็นคีลอยด์เกิดจากอะไร

จริง ๆ ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของแผลเป็นคีลอยด์แต่พบว่ามักจะเกิดในผู้ป่วยที่มีผิวสี เข้มในตำแหน่งที่เกิดได้บ่อย ได้แก่ หัวไหล่ ติ่งหูและกลางหน้าอก ส่วนหนึ่งพบในผู้ป่วยที่มีประวัติทางพันธุกรรม คือ มีประวัติการเกิดคีลอยด์ในพ่อหรือแม่ แผลเป็นคีลอยด์นี้เชื่อว่าเกิดจากการที่แผลเป็นมีการสร้างสารที่เรียกว่าคอ ลลาเจนมากเกินกว่าปกติ

4 เราจะป้องกันได้อย่างไร

การป้องกันการเกิดแผลเป็นเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะการที่มีแผลใหม่ ๆ เราจะเริ่มโดยการแนะนำให้ผู้ป่วยนวดหรือการกดบริเวณนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้วการนวดอย่างสม่ำเสมอในระยะประมาณ 3-6 เดือนแรก เป็นเรื่องสำคัญและจะช่วยให้แผลเป็นนั้นลดการขยายตัวและนูนเกินได้ ในบางครั้งแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่กว้างเช่นแผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้หรือน้ำ ร้อนลวก อาจจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษหรือผ้ารัดหรือ pressure garment

Pressure garment นี้จะต้องสวมใส่เพื่อที่จะรัดบริเวณที่เกิดแผลเป็น เช่น ใบหน้า ลำตัว และแขน ขา ในช่วงระยะประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีแรกหลังจากได้รับอุบัติเหตุ การนวดก็จะสามารถลดการเกิดแผลเป็นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นในช่วงระยะแรกที่แผลเป็นมีการอักเสบอยู่การนวดก็จะช่วยลดไม่ให้แผล เป็นมีการขยายใหญ่โตได้
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 20:09:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
5 วิธีรักษาแผลเป็นมีกี่วิธี

หากพบว่ามีแผลเป็นเกิดขึ้นแล้วจะเริ่มจากการรักษาโดย

วิธีที่ 1 คือวิธีอนุรักษ์หรือว่า conservative ก่อน โดยส่วนใหญ่แล้วพบว่าเกิน 95 % รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด วิธีที่แนะนำให้ใช้วิธีแรกคือ การใช้แผ่นซิลิโคนปิดแผ่นซิลิโคนนี้จะเป็นแผ่นเจลใส ๆ ที่ทำมาจากซิลิโคน เราสามารถปิดไว้บนบาดแผล หลังจากบาดแผลหายดีแล้วประมาณ 7 วัน การปิดแผลนี้แนะนำให้ปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งข้อดีจะทำให้บริเวณผิวหนังที่อยู่ใต้แผ่นซิลิโคนนี้ มีความชุ่มชื้นมากขึ้นทำให้ลดการอักเสบได้

วิธีที่ 2 เนื่องจากว่าบางครั้งเราพบว่าการปิดด้วยซิลิโคนอาจจะไม่สะดวก การใช้แผ่นเทปเหนียวหรือว่า microporous tape ก็จะสามารถทดแทนได้เช่นเดียวกัน แผ่นเทปเหนียวนี้สามารถใช้ปิดลงบนบาดแผลได้โดยตรงและจะทำให้ผิวหนังบริเวณ ใต้ต่อเทปนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้นทำให้มีการอักเสบลดน้อยลง

วิธีที่ 3 การฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์จะลดการอักเสบของการเกิดเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือ คีลอยด์ได้ยาที่แนะนำคือ Triamcinolone acetonide ซึ่งเป็นยาฉีดเฉพาะที่สามารถลดการอักเสบ วิธีการรักษาคือฉีดยาเข้าไปในแผลเป็นโดยตรงแต่ก็อาจทำให้มีอาการเจ็บได้พอ สมควรในระหว่างการฉีดยา จะแนะนำให้ฉีดแผลเป็นนี้ในช่วงระยะประมาณไม่เกิน 1 ปีแรกหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่แล้วจะนัดมาฉีดประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งความถี่ในการฉีดขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาว่าเป็นอย่างไร

วิธีที่ 4 คือการผ่าตัด การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับรูปแบบของแผลเป็นนั้น ถ้าเป็นกรณีที่เกิดเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือคีลอยด์เราก็อาจจะใช้วิธีตัดออก หรือว่าลดขนาดลงบางส่วน วิธีนี้อาจจะใช้ร่วมกับการรักษาโดยวิธีอื่น เช่น การฉีดยาหรือการปิดด้วยแผ่นซิลิโคนก็ได้ การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธีอาจจะใช้วิธีตัดออกโดยตรงแล้วเย็บปิดเป็นเส้นตรง หรืออาจจะตัดออกเป็นรูปซิกแซกเพื่อที่จะให้แผลเป็นที่เกิดขึ้นใหม่มีลักษณะ ใกล้เคียงกับรอยย่นตามผิวหนัง
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 20:09:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การผ่าตัดอีกวิธีหนึ่งคือการลดขนาดของแผลเป็น วิธีนี้เราจะใช้วิธีการตัดแผลเป็นออกบ้างบางส่วนโดยจะไม่ตัดออกทั้งหมด หลังจากนั้นจะนัดผู้ป่วยมาเพื่อติดตามผลการรักษา หากแผลเป็นมีขนาดเล็กลงอาจจะนัดมาตัดซ้ำอีกครั้ง เรียกว่าการตัดแบบทีละน้อยหรือ serial excision วิธีการผ่าตัดอีกวิธีหนึ่งคือการใช้วิธีขัดกรอผิวหนังหรือว่า dermabrasion การขัดกรอผิวหนังนี้ จะใช้ในกรณีที่มีแผลเป็นที่รอยขรุขระหรือไม่เรียบหรือเป็นรอยบุ๋มแผลเป็นนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากสิวอักเสบหรือโรคสุกใส การใช้หัวกรอหรือใช้แสงเลเซอร์ยิงบริเวณที่รอยขรุขระนี้เพื่อจะปรับสภาพผิว ให้ราบเรียบขึ้น แต่ข้อควรระวังคืออาจจะเกิดมีการเกิดผิวสีเข้มหรือ hyperpigmentation บริเวณนั้นได้

การรักษาแผลเป็นนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาดูว่าแผลเป็นนั้นเป็นแผลเป็นนูน ชนิดใด หากเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือคีลอยด์จะต้องพิจารณาการรักษาอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นอาจจะมีแผลเป็นใหญ่โตเกินกว่าขนาดเดิมได้โดยทั่วไปแล้วแผลเป็นมักจะ สามารถป้องกันได้ เพราะฉะนั้นหากเรารู้จักวิธีการดูแลรักษาภายหลังจากที่ได้รับแผลเป็นใหม่ ๆ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้แผลเป็นนั้นนูนเกินหรือเป็นคีลอยด์ได้ในอนาคต

หวังว่าข้อความในกระทู้นี้จะเป็นประโยขน์ต่อผู้ที่ได้อ่านกันนะค่ะ ขอให้ทุกคนสมหวังในการทำศัลยกรรมโดยต้องพิจารณากันให้ดี ๆ หาข้อมูลเยอะก่อนที่จะตัดสินใจทำกันนะค่ะจะได้ไม่ต้องมาเสียใจกันภายหลังเหมือนเจ้าของกระทู้ค่ะ
ผมก็สนใจอยากทำอยู่ครับ ขอบคุณข้อมูลครับ แน่นจริงๆ
ขอบคุณข้อมูลดีดีมากเลยนะค่ะ '
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 21:08:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต้นฉบับโพสต์โดย pupum เมื่อ 2013-2-18 21:00
ผมก็สนใจอยากทำอยู่ครับ ขอบคุณข้อมูลครับ แน่นจริงๆ ...

ขอบคุนมากๆค่ะ พอดีเคยล้มเหลวมาครั้งนึงค่ะ
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-2-18 21:08:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต้นฉบับโพสต์โดย patzakapook เมื่อ 2013-2-18 21:06
ขอบคุณข้อมูลดีดีมากเลยนะค่ะ '

ขอบคุนมากที่สนจัยและเข้ามาอ่านค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้